Cloud Computing
คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการ
ไปยังซอฟต์แวร์ของระบบ Cloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้อง การผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็น เช่นไร
ที่มาของภาพ http://www.sirikanlaya.com/blog/sites/default/files/imagecache/blog_img/blog/17_20101229144111..jpg
Cloud Computing หรือ Cloud Service คือเราเข้าอินเตอร์เน็ตให้ได้ และเราก็จะใช้งานโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ ผู้ให้บริการบนโลกอินเตอร์เน็ต เขาก็จะเตรียมไว้ให้เราแล้ว (แต่ถ้าเข้าอินเตอรเน็ตไม่ได้...ก็เกิดเรื่องกันละทีนี้) เอาให้ง่ายเข้าไปอีก ลองคิดถึงแต่ก่อนเราอาจจะต้องใช้ Outlook หรือ Lotus Note ในการทำงานเพื่อเปิดเครือ่งเพื่อรับเมล์ เดี๋ยวนี้เราจะเห็น มี Google, Hotmail หรือ Yahoo ให้เราสามารถเช็คเมล์ได้ โดยเฉพาะ Google พี่ท่านกะล็อกทุกอย่าง หรือครองโลกออนไลน์เลยก็ว่าได้ เดี๋ยวถ้าเรามี Domain แล้วไม่ต้องการมี Server หรือตั้งระบบ Mail Server เราสามารถไปเช่าใช้บริการผูกเมล์เราเข้ากับระบบ Gmail ของ Google ได้อีกต่างหาก
การบริการบนระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ สามารถ แบ่งรูปแบบของชั้นดังนี้
การให้บริการซอฟต์แวร์ หรือ Software
as a Service (SaaS) จะให้บริการการประมวลผลแอปพลิเคชันที่แม่ข่ายของผู้ให้บริการ
และเปิดให้การบริการทางด้านซอฟแวร์ต่างๆ
การให้บริการแพลทฟอร์ม หรือ Platform
as a Service (PaaS) เป็นการประมวลผล ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ และการสนับสนุนเว็บแอปพลิเคชันเข้ามาร่วมด้วย
การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure
as a Service (IaaS) เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน
มีประโยชน์ในการประมวลผลทรัพยากรจำนวนมาก
บริการระบบจัดเก็บข้อมูล หรือ data
Storage as a Service (dSaaS) ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ไม่จำกัด
รองรับการสืบค้นและการจัดการข้อมูลขั้นสูง
บริการร่วมรวมลำดับความเชื่อมโยง หรือ Composite
Service (CaaS) คือส่วนทำหน้าที่รวมโปรแกรมประยุกต์ หรือจัดลำดับการเชื่อมโยงแบบ workflow
ข้ามเครือข่าย
รวมถึงการจัดการด้านความปลอดภัย
ส่วนประกอบของ cloud
computing
เนื่องจาก cloud
computing จะต้องรองรับผู้ให้บริการจำนวนมาก
และผู้ใช้บริการก็มีความคาดหวังไว้ว่า บริการหรือ applications ที่ได้นั้นจะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว,ปลอดภัย และ
พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม ดังนั้น ผู้ให้บริการ cloud
computing จะต้องมีการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ของระบบที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
Transparency ใน cloud
computing จะต้องมีการใช้ Transparent load-balancing คือ
ความพยายามที่จะทำให้เกิด balance ในการทำงานเมื่อมีการเรียกใช้ application
จากผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกัน
โดยจะกระจาย load หรืองานไปให้เครื่องหรือ server อื่นๆเพื่อช่วยในการทำงาน
อย่างเช่น ปกติการให้บริการจะ run อยู่บน server ตัวเดียว
แต่เมื่อไหร่ก็ตามมีผู้ใช้งานจำนวนมากและจำเป็นต้องใช้ server เพิ่มขึ้น transparency
จะอนุญาตให้มีการประสานงานกับ
server อื่นๆได้โดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะการทำงานหรือต้องติดตั้งระบบกันใหม่
อย่างนี้เป็นต้นส่วน application delivery หรือการให้บริการระบบงาน
จะช่วยตอบสนองความต้องการให้ application และข้อมูลทุกรูปแบบได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเวลาใดก็ตาม
Sociability คือ
สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน
Intelligent
Monitoring มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า application หรือ service
มีปัญหาอะไร
ตรงไหนบ้าง
Security เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน
cloud ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ข้อมูลสำคัญๆอาจจะถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการโจมตีระบบได้
ดังนั้นสถาปัตยกรรมของ cloud computing จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ
รูปแบบของ cloud แบ่งออกเป็น 3
แบบ
Public
clouds มี server จำนวนมากและตั้งอยู่หลายๆที่ ซึ่งผู้ใช้จะใช้บริการผ่าน web
application หรือ web service
Private
cloud ผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบเอง โดยจะมีการจำลอง cloud
computing ขึ้นมาใช้งานใน network ส่วนตัว
รูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน และ
มีความสะดวกเนื่องจากผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งระบบและดูแลรักษาให้
Hybrid
cloud ประกอบขึ้นด้วยผู้ให้บริการแบบ public และ private
ส่วนใหญ่จะเน้นไปทาง
ระบบ
enterprise


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น