ประเภทของ Rom
1. หน่วยความจำพีรอม (Programmable ROM : PROM)
2. หน่วยความจำอีพรอม (Erasable Programmable ROM : EPROM)
3. หน่วยความอีอีพรอม (Electrically Erasable PROM : EEPROM)
4. หน่วยความเอฟพีพรอม FEPROM : Flash EPROM
หน้าที่การทํางานของ Rom
รอม (ROM: Read-only Memory หน่วยความจำอ่านอย่างเดียว) เป็นหน่วยความจำ แบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์เพราะไม่สามารถบันทึกซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นหน่วยความจำที่มีซอฟร์แวร์ หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครไพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มี ไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากหน่วยความจำ (nonvolatile) โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่นเก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับ เครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น
หน่วยความจำประเภท ROM นี้ยังแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ตามลักษณะการใช้งานได้หลายประเภท สำหรับเทคโนโลยีในการผลิตตัวไอซีที่ทำหน้าที่เป็น ROM มีทั้งแบบ MOS และแบบไบโพลาร์
โครงสร้างของหน่วยความจำ Rom
โครงสร้างภายในของรอมขนาด ความจุ 16 x 8 บิต - เวิร์ด ประกอบด้วย ตัวถอดรหัสแถว (Row Decoder), ตัวถอดรหัสคอลัมน์ (Coloumn Decoder) และรีจิสเตอร์อาร์เรย์ (Register Array) แสดงโครงสร้างภายในของรอมขนาด ความจุ 16 x 8 บิต - เวิร์ด
บัฟเฟอร์ เอาต์พุต (Output Buffer)
รีจิสเตอร์อาร์เรย์ (Register Array) คือ รีจิสเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูลที่ถูกโปรแกรมมาแล้วลงในหน่วยความจำรอม ขนาดของ
รีจิสเตอร์แต่ละตัวอาจเป็น 4 บิต 8 บิต หรือมากกว่า ตำแหน่งของ รีจิสเตอร์ถูกกำหนดโดยรหัสที่แถวและคอลัมน์ เช่น รีจิสเตอร์ที่อยู่ในตำแหน่งแถว 1 คอลัมน์ 2 เป็นต้น บัฟเฟอร์เอาต์พุต (Output Buffer) เมื่อรีจิสเตอร์ตัวใดตัวหนึ่ง (ขนาด 8 บิต) ถูกกำหนดให้ทำงานโดยแอดเดรสที่ป้อนเข้ามา (A , A , A , A ) จากข้อมูลภายในรีจิสเตอร์ตัวนั้น จะส่งออกมายังบัส ข้อมูลขนาด 8 บิตเข้าเก็บไว้ในบัฟเฟอร์ควบคุมที่ขา CS (Chip Selector) โดยให้ CS = "0" ข้อมูลจากรีจิสเตอร์จึงถูกส่งออกภายนอกได้ที่เอาต์พุต (D - D ) เมื่อ CS เป็น "1" สภาวะของบัฟเฟอร์จะมีอิมพีแดนซ์สูง
ขั้นตอนการอ่านข้อมูลจาก ROM
1. CPU จะส่งแอดเดรสไปให้ ROM แอดเดรสดังกล่าวจะปรากฏ เป็นแอดเดรสที่ต้องการอ่าน ใน ROM โดยข้อมูลจะถูกอ่านออกมาเพียงครั้งละ 1 ไบต์เท่านั้น
2. CPU จะต้องให้ช่วงเวลาของการส่งแอดเดรสยาวนานพอประมาณ (Wait State) เรียกว่า Access Time โดยปกติต้องประมาณ 100-300 นาโนวินาที ขึ้นกับชนิดของ ROM ซึ่ง ROM จะใช้เวลานั้นในการถอดรหัสแอดเดรส ของข้อมูลที่ต้องการจะอ่านออกมาที่เอาท์พุทของ ROM ซึ่งถ้าใช้เวลาเร็วกว่านั้น ROM จะตอบสนองไม่ทัน
3. CPU จะส่งสัญญาณไปทำการเลือก ROM เรียกว่า สัญญาณ /CS (Chip Select) เพื่อบอกว่าต้องการเลือก ROM ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเพื่อยืนยันการเลือกชิปนั่นเอง
4. ข้อมูลจะผ่านออกทางขาข้อมูลชั่วขณะจังหวะการเลือกชิป และเมื่อขาการเลือกชิปไม่แอคตีฟ ข้อมูลก็จะเข้าสู่ภาวะที่มีอิมพีแดนซ์สูง
ขั้นตอนการทำงานของ BIOS ROM
1.เมื่อเปิดเครื่อง BIOS จะตรวจสอบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งาน เช่น คีย์บอร์ด , ดิสก์ไดรฟ์, จอภาพ, หน่วยความจำ ฯลฯ หากมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งทำงานไม่ถูกต้อง จะแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบทั้งในลักษณะข้อความ (หากจอภาพทำงานได้) และเสียง beep หากจอภาพทำงานไม่ได้
2.โหลดค่ากำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาใช้งาน โดยค่าต่างๆ เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ใน CMOS ซึ่งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่าน SETUP
3.โหลดระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งไว้ในดิสก์ขึ้นมาทำงาน
4.เมื่อระบบปฏิบัติการเิริ่มทำงาน นั่นคือคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ส่วน BIOS จะทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ ต่อระบบปฏิบัติการอยู่เบื้องหลัง เช่น การอ่าน-เขียนข้อมูลจากดิสก์, เปิดจอภาพเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆ ฯลฯ
5.เมื่อต้องการปิดเครื่อง BIOS จะปิดการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดรวมถึงตัดกระแสไฟที่จ่ายให้ power supply ด้วย ค่ากำหนดต่างๆ ที่เก็บไว้ใน CMOS จะไม่หายไป เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ การทำงานจะวนรอบกลับไปยังขั้นตอนที่ 1 ทันที ดังจะเห็นได้ว่าการทำงานของ BIOS มีผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หาก BIOS ได้รับการปรับตั้งไม่ถูกต้อง หรือปรับตั้งไว้ไม่ดี จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำงานได้ไม่ถูกต้อง, ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ใช้งานไม่ได้เลยก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น